กำเนิดกรุงโรม
|
||
ประวัติศาสตร์ของกรุงโรมโบราณเริ่มต้นขึ้นด้วยการล้มล้างจากกษัตริย์ต่างเมือง
เมื่อ 509 ก่อนคริสต์ศักราช แต่ชาวโรมันชอบนับประวัติศาสตร์เมืองของตนเอง ย้อนไปเมื่อ
753 ปี ก่อนคริสต์ศักราช นั่นคือ เมื่อตำนานวีรบุรุษ ชื่อ รอมิวลุส (Romulus)
ได้รับการกล่าวกันว่าเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม
ตำนานเป็นเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมจากยุคก่อนซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้
ตำนานเกี่ยวกับการสถาปนากรุงโรมเริ่มต้นด้วยอีเนียส
(Aeneas) วีรบุรุษของสงครามเมืองทรอยที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศอิตาลีหลังจากที่เมืองทรอยถูกทำลาย
|
||
การก่อตั้งกรุงโรม
ตำนานเดินเรื่องฝาแฝดรอมิวลุสและเรมุส (Remus) ลูกหลานของอีเนียสผู้ก่อตั้งกรุงโรม
ทั้งสองถูกแม่ทิ้ง แต่ได้รับการช่วยเหลือจากหมาป่า เมื่อฝาแฝดเติบโตขึ้นก็ได้แย่งชิงสถานที่ตั้งกรุงโรม
รอมิวลุสได้ฆ่าน้องชายของเขาและได้ลากเส้นขอบเขตของกรุงโรมรอบเนินพาลาทินี (Palatine
Hill)
หลังจากรอมิวลุสเสียชีวิต
กษัตริย์โรมันก็ได้ปกครองเมืองมาตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 6 (600 ปี) ก่อนคริสต์ศักราช
พวกอีทรัสคัน (Etruscans)
จากภาคเหนือของอิตาลี ได้พิชิตกรุงโรม เพื่อที่จะฟื้นฟูการปกครองตนเอง
ชาวโรมันได้โค่นล้มกษัตริย์ชาวอีทรัสคันและก่อรูปแบบสาธารณรัฐ เมื่อ 509 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
สาธารณรัฐ (Republic) คือ รัฐ ซึ่งประชาชนเลือกตัวแทนมาปกครองในนามของพวกเขา
ภูมิศาสตร์และการดำรงชีวิตช่วงแรกของโรม
หลังจากที่ล้มล้างชาวอีทรัสคัน
กรุงโรมก็เจริญรุ่งเรืองจากเมืองเป็นประเทศและในที่สุดก็กลายเป็นจักรวรรดิ
เนื่องจากมีทำเลที่ดี
หุบเขาและแม่น้ำ
ผู้ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานพวกแรกของกรุงโรม คือ พวกละติน (ชาวโรมันโบราณ) ซึ่งเดินทางมาจากบริเวณรอบกรุงโรม
แล้วเลือกตำแหน่งที่มีอากาศสบาย ที่ดินสำหรับการเพราปลูกที่ดีและที่ตั้งทางยุทธศาสตร์
ชาวละตินและผู้ที่ตั้งถิ่นฐานต่อมา
ได้สร้างกรุงโรมที่เนินเขาลาดชัน 7 ลูก ในเวลากลางวัน ผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานจะทำไร่ไถนาพื้นที่ราบอุดมสมบูรณ์ที่เชิงเขา
ในเวลากลางคืน พวกเขากลับไปยังบ้านที่อยู่บนยอดเขา เพื่อปกป้องตัวเองจากการโจมตี
โรมมีข้อดีอื่น
ๆ อีก คือ ตั้งอยู่ไม่ไกลทะเลเมดิเตอร์เรเนียนบนเส้นทางการค้าสมัยโบราณ นอกจากนี้ยังตั้งออยู่ถัดจากแม่น้ำไทเบอร์ แม่น้ำสายนี้มีความสำคัญต่อการพัฒนากรุงโรม เพราะมันเป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตรและการดื่ม
คาบสมุทรอิตาลี
สถานที่ตั้งของกรุงโรมบนคาบสมุทรอิตาลียังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาคาบสมุทรอีกด้วย
คาบสมุทรทอดเหยียดยาวไปทางใต้จากยุโรปไปสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
สถานที่ตั้งของอิตาลีบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำให้ชาวโรมันเดินเรือไปยังดินแดนอื่นที่อยู่รอบ
ๆ ทะเล ค่อนข้างง่าย ตำแหน่งนี้ช่วยกรุงโรมให้ได้รับชนะและได้รับดินแดนใหม่ในที่สุด นอกจากนี้ ยังได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาเส้นทางการค้า
อิตาลีมีเทือกเขาหลักสองลูกช่วยป้องกันกรุงโรม
คือ เทือกเขาแอลป์ (the Alps) ชายแดนอิตาลีทางตอนเหนือและเทือกเขาแอเพนไนน์
(Apenines) เป็นกระดูกสันหลังของอิตาลี ทอดยาวลงไปสู่คาบสมุทร
ยาวกว่า 800 ไมล์ (ประมาณ1,280 กิโลเมตร) อิตาลียังมีที่ราบขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำการเกษตร
การดำรงชีวิตด้านการเกษตร
ชาวโรมันในยุคแรกส่วนมากใช้งานที่ดินแปลงเล็ก ๆ
พวกเขาปลูกธัญพืช เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ และปลูกถั่ว ผักและผลไม้
ต่อมาชาวโรมันได้เรียนรู้การปลูกมะกอก (olive) และองุ่น
พวกเขาส่งเสริมการเลี้ยงสุกร แกะ แพะ และไก่ และใช้วัวสำหรับลากไถ ในกรุงโรมสมัยโบราณ เกษตรกรที่ร่ำรวยเท่านั้น จึงสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลครั้งแรก
และปลูกองุ่นได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี
|
ตอนแรก
เกษตรกรชาวโรมันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในบ้านที่เรียบง่ายที่ทำจากโคลนหรือไม้
ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากมาย นอกจากนี้ เกษตรกรยังอาศัยอยู่เป็นครอบครัวแบบขยายซึ่งมีปู่ย่าตายาย
ป้าและลุง หลานสาวและหลานชายและญาติ ๆ
การพัฒนาคุณภาพของวินัย
ความจงรักภักดี และการทำงานอย่างหนัก ของเกษตรกรในยุคแรกเหล่านี้ ช่วยให้กรุงโรมประสบความสำเร็จ
พวกเขามีคุณภาพจนทำให้กองทัพโรมันประสบความสำเร็จเป็นอันมาก
เมื่อทหารเข้าสู่สงคราม พวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งและทำงานของพวกเขา
ทัศนคติแบบนี้ได้ช่วยให้กรังโรมพิชิตอิตาลีทั้งหมด
กำเนิดการปกครองแบบสาธารณรัฐ
ในขณะที่กรุงโรมพัฒนาเป็นอารยธรรมที่ซับซ้อน
ก็มีชนชั้นสองจำพวกเกิดขึ้น ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างพวกเขา นำไปสู่ความขัดแย้ง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุด
ความขัดแย้งนี้ก็ได้กำหนดสิทธิการเป็นพลเมืองโรมันและสิทธิมนุษยชนของประชาชนภายใต้กฎหมายโรมัน
เป็นเวลา 500 ปี ถัดมา ชาวโรมัน ได้ดำเนินการภายใต้ระบบการเมืองที่ทำหน้าที่เป็นแบบจำลองสำหรับหลายชาติที่เป็นประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้
ขุนนางและสามัญชน
ในกรุงโรมโบราณ เหล่าขุนนาง (patricians) ซึ่งเป็นชนชั้นสูง
เป็นเศรษฐีเจ้าของที่ดิน ยึดครองตำแหน่งรัฐบาลระดับสูง เหล่าสามัญชน (plebeian)
เป็นไพร่ที่ได้รับอนุญาตให้ออกเสียงเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ครองตำแหน่งในรัฐบาลในกรุงโรมโบราณ
ความไม่พอใจต่ออำนาจของเหล่าขุนนาง
ก่อให้เกิดความตึงเครียด ในที่สุด เหล่าขุนนาง ได้ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า
กฎหมายสิบสองโต๊ะ ประมาณ 450 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
กฎหมายสิบสองโต๊ะ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ขั้นพื้นฐานสำหรับพลเมืองโรมัน
รัฐบาลแบบสาธารณรัฐ
ผู้นำของสาธารณรัฐโรมัน ได้จัดตั้งรัฐบาลไตรภาคี (tripartite)
รัฐบาลประเภทนี้ มีสามฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหาร
ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมาย ฝ่ายตุลาการตีความกฎหมายในศาล และฝ่ายผู้บริหารบังคับใช้กฎหมายของประเทศ
ไตรภาค
ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐบาลโรมันรวมถึงวุฒิสภาและสมัชชา วุฒิสภามีกลุ่มสมาชิกผู้ทรงอำนาจ
300 คน ที่ให้คำแนะนำผู้นำโรมัน วุฒิสมาชิกส่วนใหญ่เป็นขุนนาง สมัชชา ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสามัญชน
ผู้แทนราษฎรของพวกเขาได้คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของสามัญชน
ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยผู้พิพากษาแปดคน
เข้าประจำตำแหน่ง เป็นเวลาหนึ่งปี พวกเขาเป็นคนควบคุมศาลและบริหารภูมิภาค
กงสุลสองคน
ได้เป็นผู้นำฝ่ายบริหารของกรุงโรม พวกเขาควบคุมกองทัพและกำกับรัฐบาลเป็นเวลาหนึ่งปี
กงสุลแต่ละคนมีอำนาจที่จะยับยั้งหรือลบล้างฝ่ายอื่น ๆ
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ
กงสุลสามารถเลือกผู้เผด็จการ ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองในสถานที่ของพวกเขาเป็นระยะเวลาที่จำกัด
เมื่อ 458 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ ซินซินาตัส (Cincinnatus)
ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเผด็จการเพื่อปกป้องโรมจากการโจมตี ตามตำนานเขาพิฆาตศัตรูและคืนอำนาจกลับไปให้กงสุลในวันเดียว
|
|
|||
|
|||
|
|||
|
การขยายตัวของสาธารณรัฐ
เป็นเวลาหลายร้อยปีหลังจากที่ก่อตั้งระบบการปกครองสาธารณรัฐ กรุงโรมก็ได้ขยายดินแดน เมื่อ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมัน ได้ครอบครองอิตาลีตอนกลาง ในที่สุดพวกเขาก็พิชิตพวกอีทรัสคันไปจนถึงทิศเหนือและนครรัฐกรีกไปจนถึงทิศใต้
เมื่อ 275 ก่อนคริสต์ศักราช คาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวโรมัน
โดยทั่วไป
กรุงโรมไม่ได้กำหนดกฎที่รุนแรงต่อประชาชนที่พิชิตได้ สาธารณรัฐ ได้มอบความเป็นพลเมืองโรมันให้กับพวกเขาเป็นส่วนมากและได้อนุญาตให้พวกเขาปกครองตนเอง
ในทางกลับกัน ประชาชนใหม่จะต้องจ่ายเงินภาษีและจัดหาทหารให้กองทัพโรมัน
สงครามพิวนิค
โรมจำเป็นต้องใช้ทหารเหล่านี้ไปรบในสงครามพิวนิค (Punic
Wars) ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อ 264 ก่อนคริสต์ศักราช สงครามเหล่านี้เป็นชุดหนึ่งในสงครามสามครั้งกับเมืองคาร์เธจ
เมืองที่อุดมไปด้วยการค้าขายในแอฟริกาเหนือ ครั้งหนึ่ง เมืองคาร์เธจเคยเป็นอาณานิคมของฟีนิเซีย
(Phoenicia – ปัจจุบันอยู่ในประเทศซีเรีย) ซึ่งเป็นกลุ่มของนครรัฐที่ค้าขายทางทะเลบนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
Punic มาจากคำภาษากรีกว่า
Phoenician
โรมได้รับชัยชนะสงครามพิวนิคทุกครั้ง
แต่ครั้งที่เกือบทัพแตก ฮันนิบาล (Hannibal) แม่ทัพจากเมืองคาร์เธจ
ได้ข้ามเทือกเขาแอลป์ด้วยฝูงช้างและเกือบเข้ายึดกรุงโรมได้ แม่ทัพชาวโรมัน ชื่อ สคิปิโอ
(Scipio) ได้คิดแผนการโจมตีเมืองคาร์เธจ แผนนี้ ได้บังคับให้แม่ทัพฮันนิบาลกลับไปยังแอฟริกาเพื่อปกป้องเมืองบ้านเกิดของเขา
เมื่อ 202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
ในยุทธการซามา (Zama) ใกล้เมืองคาร์เธจ ในที่สุด โรมันมีชัยต่อแม่ทัพฮันนิบาล
|
เมื่อ
146 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ในสงครามพิวนิคครั้งที่สาม
โรมได้ล้อมโจมตีเมืองคาร์เธจ ในที่สุด โรมก็ยึดและทำลายเมืองได้
เมืองคาร์เธจก็ลุกเป็นไฟและพลเมือง 50,000 คนที่ อาศัยอยู่ในเมืองก็ถูกขายไปเป็นทาส
ดินแดนแห่งเมืองคาร์เธจก็ถูกสร้างขึ้นเป็นจังหวัดของโรมัน
ชัยชนะของกรุงโรมในสงครามพิวนิคทำให้มีอำนาจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านทิศตะวันตก
ครั้นแล้ว ชาวโรมันก็ได้เดินทางไปพิชิตทางทิศตะวันออกได้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุด อาณาจักรเมดิเตอร์เรเนียนแห่งกรุงโรม
ก็ยาวเหยียดจากกรีซทางทิศตะวันออกไปถึงคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberia)
ในทิศตะวันตก
ผลของการขยายตัว
ทหารโรมันนำความมั่งคั่งอันยิ่งใหญ่และทาสจำนวนมากกลับไป พวกเขาได้ซื้อที่ดินขนาดใหญ่และทำไร่ไถนาด้วยแรงงานทาส
แต่เนื่องจากเกษตรกรตัวเล็กจำนวนมากไม่สามารถแข่งขัน พวกเขาสูญเสียไร่นา
ด้วยเหตุนั้น
การว่างงานและความยากจนจึงเพิ่มขึ้น
ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนขยายตัวกว้างขึ้น ในทางกลับกัน ข้อนี้ ก่อให้เกิดความโกรธและความตึงเครียดระหว่างชนชั้นมากขึ้น
ในหมู่คนอื่น ๆ ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้โค่นล้มระบบสาธารณรัฐ
|
![]() |
แผนที่สงครามพิวนิก 264 - 146 ปี ก่อน ค.ศ. |