การล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน
|
||
1 ศตวรรษแห่งความวิกฤติ
นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การสิ้นสุดแห่งการครองราชย์ของจักรพรรดิมาร์คัส ออเรลิอัส (Marcus
Aurelius - ค.ศ. 161-180)
คือ จุดจบของสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองที่มีมาถึงสองศตวรรษ ซึ่งเรียกว่า สันติภาพโรมัน
(Pax Romana) นักปกครองในศตวรรษต่อ ๆ มา มีความคิดเล็กน้อยหรือไม่มีความคิดในจัดการจักรวรรดิขนาดใหญ่และแก้ปัญหาที่กำลังรุมเร้า จึงเป็นผลให้กรุงโรมเริ่มล่มสลาย
เศรษฐกิจโรมอ่อนแอ ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่สาม
มีหลายปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของกรุงโรมอ่อนแอลง ชนเผ่าที่เป็นศัตรูกันนอกขอบเขตของจักรวรรดิและโจรสลัดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาทำให้การค้าขายหยุดชะงัก
เมื่อถึงขีดจำกัดในการขยายดินแดน ชาวโรมันจึงขาดแคลนแหล่งเงินทองแห่งใหม่ ๆ เมื่อหมดรายได้
รัฐบาลจึงขึ้นภาษี นอกจากนี้ยังเริ่มต้นทำเหรียญกษาปณ์ที่ผสมเงินน้อยลง ๆ และมีความหวังที่จะสร้างเงินด้วยโลหะอันมีค่าคล้าย
ๆ กันให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า เศรษฐกิจก็ประสบปัญหาเงินเฟ้อ ค่าของเงินลดลงอย่างรุนแรง
สินค้ามีราคาสูงขึ้น
เกษตรกรรมก็เผชิญกับปัญหาร้ายแรงอย่างเท่าเทียมกัน
การเก็บเกี่ยวในอิตาลีและยุโรปตะวันตกขาดแคลนมากขึ้น เนื่องจากดินถูกใช้งานมากเกินไป
จึงสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะสงครามตลอดทั้งปีได้ทำลายพื้นที่เพาะปลูกเป็นจำนวนมาก
ในที่สุด การขาดแคลนอาหารอย่างร้ายแรงและโรคภัยไข้เจ็บก็แพร่กระจาย และจำนวนประชากรก็ลดลง
ความวุ่นวายทางทหารและทางการเมือง ประมาณคริสต์ศตวรรษที่สาม ทหารโรมัน
ก็ยังอยู่ในความระส่ำระสาย เมื่อเวลาผ่านไป ทหารโรมันทั่วไปมีระเบียบวินัยและมีความจงรักภักดีน้อยลง
ทหารเหล่านั้นไม่ได้ให้ความจงรักภักดีต่อกรุงโรม แต่ให้ความจงรักภักดีต่อแม่ทัพที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อราชบัลลังก์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามต่อจักรวรรดิเพิ่มขึ้น รัฐบาลเริ่มรับสมัครทหารรับจ้าง ซึ่งเป็นทหารต่างชาติที่ต่อสู้เพื่อเงิน
ในขณะที่ทหารรับจ้างยอมรับค่าจ้างต่ำกว่าทหารโรมัน ทหารโรมันเหล่านั้นมีความรู้สึกจงรักภักดีต่อจักรวรรดิเพียงเล็กน้อย
ในที่สุด ความรู้สึกจงรักภักดีก็อ่อนแอลงโดยทั่วไปในหมู่ประชาชนเช่นกัน
ในอดีต ชาวโรมันได้รับการดูแลในด้านสวัสดิการเป็นอย่าง
จึงทำให้พวกเขาเต็มใจเสียสละชีวิตเพื่อความจงรักภักดี สภาพการณ์ในศตวรรษต่อมาของอาณาจักรทำให้ประชาชนสูญเสียความรู้สึกชาตินิยม
พวกเขากลายเป็นไม่ผู้ที่ไม่แยแสกับชะตากรรมของจักรวรรดิ
เหล่าจักรพรรดิพยายามปฏิรูป
กรุงโรมดำรงอยู่ได้เหมือนเดิมมาอีก
200 ปี อย่างน่าทึ่ง นี่เป็นเพราะส่วนใหญ่จักรพรรดิมีจิตใจในการปฏิรูปและการแบ่งแยกจักรวรรดิออกเป็นสองส่วน
|
จักรพรรดิไดโอคลีเชียน (Diocletian)
ปฏิรูปจักรวรรดิ
ใน
ค.ศ. 284 (พ.ศ. 827) ไดโอคลีเชียน
คือผู้นำกองทัพผู้มีจิตใจเข้มแข็ง กลายเป็นจักรพรรดิคนใหม่
เขาปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก (Iron Fist คือ
ระบบเผด็จการ) และจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ฟื้นฟูระเบียบคืนให้กับจักรวรรดิและพัฒนาความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิ
ไดโอคลีเชียนขยายกองทัพโรมันเป็นสองเท่า
และพยายามควบคุมภาวะเงินเฟ้อโดยการจัดการราคาสินค้าให้คงที่
เพื่อเรียกคืนศักดิ์ศรีของตำแหน่งจักรพรรดิ เขาได้อ้างว่าจักรวรรดิได้สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าโรมันโบราณและได้สร้างพิธีการอย่างประณีตในการแสดงตัวเองมีกลิ่นอายมาจากสวรรค์
จักรพรรดิไดโอคลีเชียนเชื่อว่าจักรวรรดิขยายตัวขนาดใหญ่เกินไปและซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้ปกครองคนเดียว
บางทีในการปฏิรูปที่สำคัญที่สุดของเขา เขาได้แบ่งจักรวรรดิออกเป็นทางตะวันออกในหมู่คนที่พูดภาษากรีก
(กรีซ อนาโตเลีย ซีเรียและอียิปต์) และทางตะวันตกในหมู่คนที่พูดภาษาละติน (อิตาลี กอล อังกฤษและสเปน) เขายึดเอาดินแดนทางตะวันออกไว้ให้ตัวเองและได้แต่งตั้งผู้ปกครองร่วมไปปกครองดินแดนทางตะวันตก
ในขณะที่จักรพรรดิไดโอคลีเชียนแบ่งอำนาจเขาก็ได้ควบคุมจักรวรรดิไว้โดยรวม
จักรวรรดิครึ่งหนึ่งทางตะวันออกรวมถึงเมืองที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิส่วนใหญ่และศูนย์กลางการค้าขายและยังรวมถึงดินแดนห่างไกลโพ้นทะเลไปทางตะวันตก
เนื่องจากสุขภาพไม่ดี ไดโอคลีเชียนจึงปลดระวางตัวเอง
ในปี ค.ศ. 305 (พ.ศ. 848) แต่อย่างไรก็ตาม แผนการที่จะสืบทอดอำนาจก็ล้มเหลว
สงครามกลางเมืองก็เกิดขึ้นโดยทันทีทันใด
ประมาณ ค.ศ. 311 (พ.ศ. 854) ก็มีผู้แข่งกันแย่งอำนาจ จำนวน 4 คน ในจำนวนนั้น
มีผู้บัญชาการทหารหนุ่ม ผู้ทะเยอทะยานชื่อคอนสแตนติน (Constantine) คอนสแตนตินนี่แหละ ซึ่งต่อมาจะยุติการกดขี่ข่มเหงของชาวคริสต์
คอนสแตนติย้ายเมืองหลวง คอนสแตนตินได้ยึดครองด้านตะวันตกของจักรวรรดิ
ใน ค.ศ. 312 (พ.ศ. 855) และดำเนินตามนโยบายสังคมและเศรษฐกิจของไดโอคลีเชียนเป็นจำนวนมาก
ใน 324 (พ.ศ. 867) คอนสแตนตินยังได้เข้าควบคุมการรักษาความปลอดภัยดินแดนด้านตะวันออก
ดั้งนั้น จึงเป็นการกลับคืนมาของแนวคิดผู้ปกครองคนเดียว (เผด็จการ)
|
แผนที่กลุ่มชนต่าง ๆ เข้ารุกรานจักรวรรดิโรมัน ค.ศ. 350 - 500 |
ใน ค.ศ. 330 (พ.ศ.
873) คอนสแตนตินได้ดำเนินการเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับจักรวรรดิ เขาได้ย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมไปยังเมืองไบแซนเทียมของชาวกรีก
(Byzantium) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองอิสตันบูล
(Istanbul) ในตุรกี เมืองหลวงใหม่ตั้งอยู่บนช่องแคบบอสฟอรัส (Bosporus
Strait) ซึ่งในเชิงกลยุทธ์ ตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าและการป้องกันในทางแยกระหว่างตะวันตกและตะวันออก
เมื่อไบแซนเทียมเป็นเมืองหลวง ศูนย์กลางของอำนาจในอาณาจักร
จึงได้เปลี่ยนจากกรุงโรมไปทางด้านตะวันออก ในไม่ช้า เมืองหลวงใหม่จึงตั้งตระหง่านมีการป้องกันด้วยกำแพงขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องอันโอ่อ่า
ซึ่งถอดแบบมาจากกรุงโรม ในที่สุด เมืองนี้จึงได้ชื่อใหม่
ว่า คอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) หรือ คอนสแตนติน
(Constantine) หลังจากคอนสแตนตินเสียชีวิต
จักรวรรดิได้ถูกแบ่งออกอีกครั้ง ทางตะวันออกยังคงดำรงอยู่ต่อมา ทางตะวันตกได้ล่มสลาย
จักรวรรดิทางตะวันตกล่มสลาย
การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันทางด้านตะวันตกเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่าน
ครั้งสุดท้าย เป็นผลมาจากการความเลวร้ายจากปัญหาภายใน การแยกตัวของจักรวรรดิด้านตะวันตกออกจากจักรวรรดิด้านตะวันออกซึ่งมั่งคั่งกว่า
และการรุกรานจากภายนอก
การรุกรานของชนชาติเยอรมนี นับตั้งแต่ยุคของจูเลียส
ซีซาร์ ชนชาติเยอรมนี เข้ามารวมกันทางพรมแดนด้านเหนือของจักรวรรดิและอยู่ร่วมกันอย่างสงบที่กรุงโรม
ประมาณ ค.ศ. 370 (พ.ศ. 913) ดินแดนทั้งหมดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อชนชาติมองโกลจากเอเชียกลาง
คือ ชาวฮั่น
ได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่ภูมิภารนี้และเริ่มทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางพวกเขา
ชาวเยอรมันพยายามหลบหนีชาวฮั่น
จึงอพยพเข้าไปสู่ดินแดนโรมัน (ชาวโรมันจึงเรียกว่าผู้บุกรุกทุกคน
"พวกป่าเถื่อน" ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ไม่ใช่ชาวโรมัน)พวกเขายังคงอพยพผ่านภูมิภาคกอลของโรมัน
สเปนและแอฟริกาเหนือ จักรวรรดิด้านตะวันตกก็ไม่สามารถตั้งกองทัพหยุดพวกฮั่นได้ ใน ค.ศ. 410 (พ.ศ. 953) กองทัพเยอรมันบุกรุกกรุงโรมและปล้นสะดมกรุงโรมเป็นเวลาสามวัน
|
อัตติลา
จอมทัพคนเถื่อน (Attila the Hun) ในขณะเดียวกัน ชาวฮั่นซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการโจมตีกลุ่มชนเจอร์แมนิกในจักรวรรดิโดยทางอ้อม
ก็กลายเป็นภัยคุกคามโดยตรง ในปี ค.ศ. 444 (พ.ศ.
987) ชาวฮั่นก็รวมตัวเป็นเอกภาพเป็นครั้งแรกภายใต้ประมุขผู้ทรงอำนาจ ชื่อว่า อัตติลา
(Attila) มีทหาร 100,000
คน อัตติลาได้คุกคามจักรวรรดิทั้งสองซีก ในซีกตะวันออก ไพร่พลของเขาได้โจมตีและปล้นเมือง
70 เมือง (พวกเขาพลาดในการโจม แต่ก็ไต่ขึ้นสู่กำแพงสูงของกรุงคอนสแตนติโนเปิล) ครั้นแล้ว ชาวฮั่นก็กวาดล้างไปทางซีกตะวันตก
ในปี ค.ศ. 452 (พ.ศ. 995) กองกำลังของอัตติลาก็มุ่งหน้าไปสู่กรุงโรม
แต่ความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บ ก็ป้องกันไม่ให้เมืองถูกโจมตีได้ แม้ว่าชาวฮั่นเป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิได้ไม่นานหลังจากอัตติลาเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 453 (พ.ศ. 996) การรุกรานกลุ่มชนชาวเจอร์แมนิกก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
จักรวรรดิสูญสิ้น จักรพรรดิโรมันคนสุดท้าย เป็นเด็กชายอายุ 14 ปีชื่อโรมุลุส เอากุสตุส
(Romulus Augustulus) ถูกกองทัพเจอร์แมนขับไล่ ในปี ค.ศ. 476
(พ.ศ. 1019) หลังจากนั้น ก็ไม่มีจักรพรรดิแม้กระทั่งจะมาอ้างสิทธิปกครองกรุงโรมและจังหวัดทางตะวันตกของจักรวรรดิ
อำนาจของโรมันในซีกตะวันตกของจักรวรรดิก็ได้สูญหายไป
ทางซีกตะวันออกของจักรวรรดิ ซึ่งต่อมาเรียกว่าจักรวรรดิไบแซนไทน์
(Byzantine
Empire) ไม่เพียงแต่คงอยู่รอดปลอดภัยเท่านั้น
แต่ยังมีความเจริญรุ่งเรืองด้วย จักรวรรดิได้รักษามรดกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของกรีกและวัฒนธรรมโรมันต่อมาอีกเป็นเวลา
1,000 ปี จักรพรรดิไบแซนไทน์ปกครองตั้งแต่กรุงคอนสแตนติโนเปิลและเห็นว่าตัวเองเป็นทายาทสืบทอดอำนาจของออกัสตัส
ซีซาร์ (Augustus Caesar) จักรวรรดิได้ยืนหยัดมาจนถึงปี
ค.ศ. 1453 (พ.ศ. 1996) ครั้นแล้วจักรวรรดิก็ล่มสลายตกไปอยู่ใต้อำนาจของออตโตมันเติร์ก
(Ottoman Turks)
แม้ว่าอำนาจทางการเมืองของกรุงโรมในซีกตะวันตกจะสิ้นสุดลง
แต่อิทธิพลทางวัฒนธรรมก็ไม่ได้สูญสิ้นไปด้วย แนวความคิด ขนบธรรมเนียม และสถาบันทั้งหลาย
ก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของอารยธรรมตะวันตกและยังคงดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
|