กำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
|
||
ชาวอินโด-ยุโรเปียนส่วนมาก
เป็นชนเผ่าเร่ร่อน อาศัยอยู่เป็นกลุ่มครอบครัว
หรือเผ่าพันธุ์ เลี้ยงวัว แกะและแพะ เป็นนักรบที่ขี่รถม้าศึกขับเคลื่อนด้วยม้า และต่อสู้ด้วยธนูและลูกศรคันยาวและขวานทองแดง
|
||
การย้ายถิ่นฐานของชาวอินโด-ยุโรเปียน ประมาณ 2,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
มีบางสิ่งได้ขับไล่ชาวอินโด-ยุโรเปียนออกจากบ้านเกิดเมืองโดยการโยกย้ายเป็นลูกคลื่น
นักประวัติศาสตร์ไม่ทราบว่าภัยแล้ง โรคระบาด หรือการบุกรุกที่ทำให้พวกเขาอพยพ กลุ่มต่าง
ๆ ได้ย้ายไปภูมิภาคที่แตกต่างกัน ชาวฮิตไทต์
(Hittites) ได้เดินทางไปเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และชาวอินโด-ยุโรเปียนพวกอื่น
ๆ อีกหลายพวก ได้ตั้งรกรากอยู่ในบางส่วนของยุโรป
การย้ายถิ่นฐานของชาวอารยัน ในระหว่าง 1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอารยัน (Aryans) ซึ่งเป็นกลุ่มของชาวอินโด-ยุโรเปียน เชื่อกันว่าอพยพไปอยู่ชมพูทวี เมื่อเปรียบเทียบกับชาวฮะรัปปันที่อยู่ในเมือง
ชาวอารยันจะเป็นคนเลี้ยงปศุสัตว์อาศัยอยู่ในบ้านที่เรียบง่าย
พูดภาษาอินโด-ยุโรเปียน
ที่เรียกว่า ภาษาสันสกฤต
นักรบชาวอารยันในรถม้าศึก
จะพิชิตเมืองที่มีกำแพงและบังคับชาวฮะรัปปันให้หนีไปทางใต้ได้หรือ ? เป็นเวลาแรมปี หนังสือประวัติศาสตร์บอกเล่าเรื่องราวนั้น แต่งานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ให้เห็นเรื่องราวที่แตกต่างกัน สองร้อยปีก่อนที่ชาวอารยันจะเข้ามา
เมืองฮะรัปปันกลายเป็นซากปรักหักพัง การล่มสลายนี้อาจเกิดจากแผ่นดินไหวและน้ำท่วม
การเปลี่ยนแปลงเพื่อการดำรงชีวิตของชาวอินเดีย
ชาวอารยันค่อย
ๆ เข้าสู่อินเดีย พวกเขาปฏิบัติศาสนาเพื่อชักจูงชาวดราวิเดรียน
(Dravidians - ทัสยุ ทมิฬ ชนพื้นเมืองเดิมในอินเดีย)
ซึ่งเป็นคนที่อาศัยอยู่ในอินเดียในขณะที่พวกเขาเดินทางมาถึง เป็นผลให้ศาสนาและภาษาอารยันแพร่กระจาย
ในทางกลับกัน พวกดราวิเดียนก็สอนพวกอารยันเกี่ยวกับชีวิตชาวเมือง เพราะการปฏิสัมพันธ์เหล่านี้
อินเดียพัฒนาวัฒนธรรมที่สลับซับซ้อน ผสมผสาน
โครงสร้างทางสังคม สังคมอารยันแบ่งเป็นวรรณะ คือ นักรบ
(กษัตริย์) นักบวช (พราหมณ์) และไพร่ (ศูทร คงรวมวรรณะแพศย์ด้วย = พ่อค้า) ในขณะที่สังคมอินเดียวิวัฒนาการซับซ้อนมากขึ้น
วรรณะเหล่านี้ได้พัฒนาไปสู่ระบบซึ่งต่อมาเรียกว่า ระบบวรรณะ วรรณะเป็นระดับชนชั้นทางสังคมที่คนเป็นโดยกำเนิด
วรรณะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับงานที่แตกต่างกัน
กลุ่มชนเหล่านี้จัดเป็นสี่ประเภทอย่างแพร่หลาย พราหมณ์ เป็น นักบวช นักวิชาการและครูผู้สอน
กษัตริย์ (Ksatriya) เป็นชนชั้นปกครอง ขุนนางและนักรบ แพศย์หรือไวศยะ
(Vaisya) เป็นนายธนาคาร เกษตรกรและพ่อค้า ศูทร (Sudra)
เป็นช่างฝีมือและแรงงาน
|
หลายศตวรรษต่อมา กลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่ง มีวิวัฒนาการซึ่งถือกันว่าอยู่ด้านล่างกลุ่มอื่น
ๆ ทั้งหมด กลุ่มนี้เรียกกันว่า จัณฑาล (Untouchable
– ไม่สามารถแตะต้องได้) พวกเขาทำงานที่ไม่มีใครต้องการ เช่น การกำจัดซากศพ
ความเชื่อของชาวอารยันและศาสนาพราหมณ์ ศาสนายุคแรกของชาวอารยัน
ปัจจุบัน เรียกว่า ศาสนาพราหมณ์ ตามชื่อของนักบวชหรือพราหมณ์ชาวอารยัน ชาวอารยันบูชาเทพตามธรรมชาติหลากหลาย พวกพราหมณ์ทำการบูชายัญให้แก่พวกเทพเหล่านั้น
โดยนำสัตว์หลายชนิดไปบูชาไฟศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเวลาผ่านไป พิธีกรรม ก็สลับซับซ้อนมากขึ้น
ๆ บางพิธีกรรมกินเวลานานเป็นวันหรือแม้กระทั่งเป็นเดือน
พิธีกรรมของศาสนาอารยันและเพลงสวดหลากหลาย
เพื่อบูชาเทพของพวกเขาพบได้ในคัมภีร์ภาษาสันสกฤตโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า
พระเวท (Vedas) พระเวท คือ คัมภีร์ที่เก็บรวบรวมบทสวดมนต์และคำแนะนำสำหรับพิธีกรรม
สี่คัมภีร์ คัมภีร์ที่สำคัญที่สุด คือ
ฤคเวท
เมื่อเวลาผ่านไป ชาวอินเดียเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับโลก ว่า
โลกเกิดมีได้อย่างไร คำถามเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดทางศาสนาเกี่ยวกับเวลา
การเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งเป็นความเชื่อที่แพร่หลายมาก
คือ เทพทุกองค์ เป็นเครื่องหมายแสดงออกของเทพองค์หนึ่งอย่างแท้จริง
|
|
|
|
ศาสนาฮินดู
: ศาสนาแห่งอินเดีย
ภควัทคีตาเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของศาสนาฮินดู ศาสนาฮินดูเป็นชื่อใหม่ของศาสนาที่สำคัญของอินเดีย
ซึ่งพัฒนามาจากศาสนาพราหมณ์ โดยนำเอาวิธีการของศาสนาพุทธมาใช้
เลียนแบบพระรัตนตรัย เดิมศาสนาพราหมณ์มีเทพองค์เดียว คือ พระพรหม
แต่ได้สร้างขึ้นมาอีก 2 องค์ เป็นตรีมูรติ คือ พระวิษณุ (พระนารายณ์) และ
พระศิวะ (หรือพระอิศวร) และมีการสร้างวัดเลียนแบบพุทธ เดิมทีพราหมณ์ไม่มีวัดมีแต่ศาลเจ้า
แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นฮินดู (ฮินดูแปลว่า ศาสนาของอินเดีย
หมายถึงทั้งพราหมณ์และพุทธ สังเกตว่า
พราหมณ์จะเอาพระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งของพระวิษณุ คือ ปางที่ 9 พุทธาวตาร
หรือปางมายา อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อลวง
พวกอสูรให้ไปนับถือพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า ปางมายา)
เทพหลายองค์
(พหุเทพ) ชาวฮินดูบูชาเทพหลายองค์
แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าในเทพหลายองค์ ชาวฮินดูยังตระหนักถึงเทพสูงสุดหรืออำนาจบันดาลชีวิตองค์เดียว
ชาวฮินดูยังนับถือเทพองค์อื่น ๆ
ที่เป็นส่วนหนึ่งของเทพสากลองค์เดียว เทพสามองค์ที่สำคัญที่สุดในบรรดาเทพอื่น ๆ คือ
พระพรหม ผู้สร้าง; พระนารายณ์ ผู้พิทักษ์; และพระอิศวร
(พระศิวะ) ผู้ทำลาย (พระอิศวรหรือพระศิวะ ทำลายเพื่อที่จะสร้างโลกขึ้นมาใหม่)
ชีวิตจำนวนมาก ชาวฮินดูเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดซึ่งหมายความว่าแต่ละคนมีชีวิตจำนวนมาก
สิ่งที่คนทำในชีวิตแต่ละชีวิตกำหนดสิ่งที่เขาหรือหล่อนจะเป็นในชีวิตต่อไป ตามความเชื่อที่เรียกว่า กรรม (karma) ในศาสนาฮินดู ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ว่า
ผลของการการกระทำของบุคคลในชีวิตนี้กำหนดชะตากรรมของเขาหรือหล่อนในชีวิตต่อไป
(แตกต่างจากกรรมในศาสนาพุทธ ชาวไทยส่วนมากจะเชื่อกรรมเหมือนกับชาวฮินดู
กรรมในศาสนาพุทธ หมายถึง เครื่องปรุงแต่งจิต (สังขาร) ที่มีเจตนาเป็นตัวนำ
ไม่ได้กำหนดชีวิตคนมาแต่กำเนิดตายตัว คือ กรรมในศาสนาพุทธแก้ไขได้ ทำใหม่ได้
กรรมชั่ว จะหยุดให้ผลได้ด้วยการไม่ทำชั่วและทำดีในปัจจุบัน
ไม่ได้หมายความว่าล้าง แต่หยุดให้ผล
เหมือนกับเกลือกำมือหนึ่งใส่ลงในขันน้ำก็เค็ม
แต่ถ้าใส่ในแม่น้ำความเค็มก็ไม่ปรากฏ แต่เกลือก็ยังอยู่ในแม่น้ำ
ส่วนกรรมในศาสนาฮินดูแก้ไขไม่ได้ต้องก้มหน้าก้มตารับไปจนกว่าจะตาย
ที่คนไทยส่วนมากเข้าใจว่าเกิดมาใช้กรรมก็เพราะเชื่อแบบฮินดู
ความเชื่อนี้จะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พรหมลิขิต ความจริงพระพุทธเจ้าเอาคำว่า
กรรม มาจากศาสนาพราหมณ์นั่นแหละ แต่เปลี่ยนความหมาย
มีหลายคำที่พระองค์นำมาจากศาสนาพราหมณ์และเปลี่ยนความหมาย เช่น พรหม
ความหมายในศาสนาพราหมณ์หมายถึงเทพสูงสุดสร้างสรรพสิ่ง แต่พุทธ หมายถึง บิดามารดา พราหมณ์ ความหมายเดิมคือผู้เรียนจบไตรเพท
แต่พุทธ หมายถึง ผู้หมดกิเลส เป็นต้น)
|
การเวียนว่ายตายเกิดสร้างวงจรแห่งการเกิด
การมีชีวิตอยู่ ความตายและการเกิดใหม่ ซ้ำ ๆ
ซาก ๆ วงจรจะสิ้นสุดเพียงเมื่อคนเข้าถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเทพเจ้า
อันเร้นลับ เพื่อให้เข้าถึงภาวะนั้น คนต้องมาตระหนักว่า
วิญญาณของเขาหรือของหล่อนและจิตวิญญาณของพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(ส่วนพุทธศาสนาสอนว่า การเวียนว่ายตายเกิดจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อหมดกิเลส
ไม่ได้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอะไร จิตวิญญาณหมดกิเลส
ก็ดับเหมือนไฟหมดเชื้อก็ดับ)
หนทางมากมายที่ให้เข้าถึงเทพ ชาวฮินดูเชื่อว่าพวกเขาเชื่อมต่อกับเทพตามเส้นทางแต่ละเส้นของพวกเขาเอง ส่วนหนึ่งของเส้นทางเกี่ยวการงานของตน
ซึ่งจะเชื่อมโยงกับระบบวรรณะ ชาวฮินดูที่มีศรัทธาจะต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในชีวิตให้สมบูรณ์
ชาวฮินดูมีทางเลือกในการฝึกหัดทางจิต เพื่อจะพัฒนาตนให้ใกล้ชิดกับเทพ
ในข้อปฏิบัติเหล่านี้ สองอย่างยังเป็นที่นิยมของผู้ที่ไม่ใช่ชาวฮินดูจำนวนมาก
นั่นคือ การทำสมาธิเป็นการปฏิบัติของการทำจิตใจให้สงบ และโยคะคือการปฏิบัติที่สลับซับซ้อนที่รวมทั้งการออกกำลังกาย เทคนิคการหายใจ การรับประทานอาหาร (พึงสังเกตสมาธิพระพุทธเจ้าก็นำมาจากศาสนาพราหมณ์นั่นแหละ
โดยได้เรียนรู้จากอาฬารดาบสและอุททกดาบส
แต่นำมาเป็นฐานให้เกิดปัญญาเพื่อกำจัดกิเลสเท่านั้น
จุดมุ่งหมายของพุทธคือการกำจัดกิเลส)
ความแตกต่างระหว่างพราหมณ์-ฮินดูกับพุทธ พึงทราบว่าในสมัยพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาล มีศาสนามากมาย ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า ทิฏฐิ หรือ ทิฐิ หรือทฤษฎี ทิฏฐิร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า มีถึง 62 ทิฏฐิ พราหมณ์นั้น มีมาก่อนพุทธกาล ซึ่งมาพร้อมกับชาวอารยัน เป็นทิฏฐิหรือศาสนาของชาวอารยัน ในดินแดนเอเชียนั้น ในน้ำมีปลาในนามีข้าว จึงมีเวลาในการคิดเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย ส่วนมากจะเป็นด้านจิตใจ (ตรงข้ามกับตะวันตก จะคิดกันในด้านวัตถุ เนื่องจากต้องดิ้นรนในเรื่องการอยู่รอดปลอดภัย อันเนื่องมาจากดินฟ้าอากาศ) มีการฝึกหัดจิตใจ ได้ฌาน ได้ปาฏิหาริย์ทางจิต เช่น เหาะเหินเดินอากาศได้ หายตัวได้ ดำดินได้ อ่านใจคนอื่นได้ เป็นต้น ซึ่งมีมาก่อนพุทธกาลเสียอีก ซึ่งมีฤษีดัง ๆ มากมาย เช่น กาฬเทวินดาบส อาฬารดาบสและอุททกดาบส เป็นต้น พระพุทธเจ้าก็เล่าเรียนสิ่งเหล่านี้มาจากสำนักดาบสเหล่านี้ ก่อนที่พระองค์จะดำริได้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เมื่อออกจากฌานสมาบัติแล้ว ทุกข์ก็เกิดขึ้นอีก เหมือนเอาหินทับหญ้าไว้ เมื่อเอาหินออก หญ้าก็งอกขึ้นมาอีก เป็นต้น ซึ่งพระพุทธองค์เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ข่ายดักพรหม (พรหมชาละ) คือ ดักไม่ให้หลุดพ้นจากทุกข์แท้จริงหรือทุกข์อย่างละเอียด วิปัสสนาเท่านั้นที่สามารถกำจัดทุกข์อย่างละเอียดได้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบอย่างแท้จริง โดยไม่มีใครสั่งสอน วิปัสสนานี่แหละที่ทำให้พุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นทั้งหลาย วิปัสสนาไม่มีในศาสนาอื่น นอกจากพุทธศาสนา
|
|
|
|
||||
|