กรุงโรมและรากฐานอารยธรรมตะวันตก
|
||
ชาวโรมันรับเอาและปรับองค์ประกอบทางวัฒนธรรมได้อย่างอิสระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากวัฒนธรรมกรีกและเฮลเลนิสติก (กรีกโบราณ) อย่างไรก็ตาม ชาวโรมันได้สร้างอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นสิทธิของตนเอง
ซึ่งมีศิลปะและสถาปัตยกรรม ภาษาและวรรณกรรม วิศวกรรมและกฎหมายที่กลายเป็นมรดกไปทั่วโลก
มรดกของอารยธรรมกรีก-โรมัน
(Greco-Roman
Civilization)
ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน
ดินแดนหลายร้อยแห่ง ถูกขมวดเป็นรัฐเดี่ยว แต่ละจังหวัดและเมืองของโรมัน มีการปกครองในแนวทางเดียวกัน
ชาวโรมันภูมิใจในความสามารถในการปกครองของตนเองที่ไม่ซ้ำกับใคร แต่พวกเขาได้ให้การยอมรับความเป็นผู้นำในสาขาศิลปะ
สถาปัตยกรรม วรรณกรรมและปรัชญาแบบกรีก
ประมาณศตวรรษที่
2 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวโรมันได้พิชิตกรีซและเข้ามายอมรับเอาวัฒนธรรมกรีกอย่างยิ่งใหญ่
ชาวโรมันผู้มีการศึกษาได้เรียนรู้ภาษากรีก ดังที่ฮอเรซ (Horace) กวีโรมันกล่าวไว้ว่า
"กรีซ ที่เคยถูกพิชิต ได้พิชิตผู้พิชิตที่ป่าเถื่อนของตนเอง" การผสมผสานองค์ประกอบวัฒนธรรมของกรีก
เฮลเลนิสติกและโรมัน
ได้ก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ เรียกว่า วัฒนธรรมกรีกโรมัน (Greco-Roman
culture) วัฒนธรรมนี้มักจะเรียกกันว่า อารยธรรมคลาสสิก ด้วย
ศิลปิน นักปรัชญาและนักเขียนชาวโรมัน
ไม่ได้เป็นคัดลอกเลียนแบบของกรีกและเฮลเลนิสติกเพียงอย่างเดียว
พวกเขายังได้ดัดแปลงแบบฉบับเหล่านั้นเพื่อวัตถุประสงค์ของตัวเองและสร้างรูปแบบของพวกเขาเอง
ศิลปะและวรรณคดีโรมันได้ถ่ายทอดอุดมการณ์ ความแข็งแรงคงทนและความเป็นปึกแผ่นตามแบบฉบับโรมัน
วิจิตรศิลป์ของชาวโรมัน ชาวโรมันได้เรียนรู้ศิลปะประติมากรรมมาจากชาวกรีก
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ชาวกรีกมีชื่อเสียงเรื่องความงามและการสร้างประติมากรรมที่สวยงาม
ประติมากรชาวโรมันก็ได้แกะสลักภาพวาดที่เหมือนจริงลงในหิน ศิลปะโรมันเป็นอันมากได้รับการปฏิบัติเพื่อวัตถุประสงค์การศึกษาของประชาชน
ในรัชสมัยของเอากุสตุส
(Augustus) เป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จทางศิลปะอันโดดเด่น ในเวลานั้น ชาวโรมันได้ส่งเสริมการพัฒนารูปแบบของประติมากรรมที่เรียกว่ารูปปั้นนูนต่ำ
ในรูปปั้นนูนต่ำหรือรูปสลักที่เด่นออกมาเล็กน้อย ก็มีภาพยื่นออกมาจากพื้นหลังที่แบนราบ
ประติมากรชาวโรมันได้ใช้รูปปั้นนูนต่ำเพื่อบอกเล่าเรื่องราวและเพื่อแสดงให้เห็นฝูงชน
ทหารในสงครามและภูมิทัศน์
ศิลปินโรมันยังเป็นผู้มีทักษะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างโมเสคอีกด้วย
โมเสค (Mosaics) คือ ภาพหรือการออกแบบที่สร้างขึ้นโดยการวางชิ้นหิน แก้วหรือกระเบื้องชิ้นเล็ก
ๆ บนพื้นผิว หมู่บ้านชาวโรมันส่วนใหญ่ ซึ่งคฤหาสน์ของพวกผู้ดีที่ตั้งอยู่นอกนครหลวง
อย่างน้อยที่สุด จะมีกระเบื้องโมเสคที่มีสีสันหนึ่งอัน
นอกจากนี้ ชาวโรมันยังเก่งศิลปะการวาดภาพ
ชาวโรมันผู้ร่ำรวยที่สุดจะมีภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่สดใส ซึ่งเรียกว่า frescoes (จิตรกรรมฝาผนัง)
ทาสีโดยตรงบนผนังบ้านของพวกเขา มีไม่กี่ชิ้นที่หลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ ตัวอย่างที่ดีที่สุดของภาพวาดชาวโรมันที่พบในเมืองปอมเปอี
(Pompeii) ของโรมันและมีอายุตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่สองก่อนคริสตกาล ใน ค.ศ. 79 ภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ได้ปะทุขึ้นปกคลุมเมืองปอมเปอีซึ่งตกอยู่ในกองเถ้าถ่านหนาเป็นชั้น ๆ และฆ่าประชากรประมาณ
2,000 คน เถ้าถ่านได้รักษาอาคารหลายหลังและงานศิลปะหลายชิ้นไว้
|
การเล่าเรียนและวรรณคดี ชาวโรมันได้รับเอาปรัชญามาจากชาวกรีกเป็นอันมาก
ลัทธิสโตอิก (Stoicism) คือปรัชญาของครูชาวกรีก ชื่อ ซีโน
(Zeno) มีอิทธิพลเป็นพิเศษ
ลัทธิสโตอิกสนับสนุนคุณงามความดี การทำหน้าที่ การรู้จักพอประมาณและความอดทน
ในด้านวรรณคดี
ก็เช่นเดียวกับในด้านปรัชญา ชาวโรมันได้พบแรงบันดาลใจในการทำงานของเพื่อนบ้านชาวกรีก
ในขณะดำเนินรอยตามแบบฉบับของชาวกรีกเป็นประจำ นักเขียนชาวโรมันได้ให้การส่งเสริมรูปแบบและความคิดของตัวเอง
นักกวี ชื่อ เวอร์จิล (Virgil) ได้ใช้เวลาสิบปีเขียนผลงานด้านวรรณกรรมภาษาละตินที่มีชื่อเสียงที่สุด
ชื่อ Aeneid ซึ่งเป็นมหากาพย์กล่าวถึงตำนานอีเนียส (Aeneas) เวอร์จิลได้จำลองมหากาพย์ Aeneid ซึ่งเขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญกรุงโรมและคุณธรรมของชาวโรมัน
ตามเนื้อความมหากาพย์กรีกของโฮเมอร์ (Homer – นักแต่กลอนชาวกรีก) ในมหากาพย์นี้ เขาได้พูดถึงการปกครองในฐานะเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดของกรุงโรมที่มีต่ออารยธรรม:
แหล่งที่มาปฐมภูมิ
ชาวโรมันไม่เคยลืมว่า
รัฐบาลเป็นสื่อกลางของคุณ! งานศิลปะของคุณเป็นแบบนี้: - เพื่อฝึกคนให้มีนิสัยรักสันติภาพ
ความเอื้ออาทรต่อผู้ที่ตนเองพิชิตและความมั่นคงต่อผู้รุกราน VIRGIL, Aeneid
ในขณะที่ข้อเขียนของเวอร์จิลเน้นน้ำหนักและความเอาจริงเอาจังทั้งหมดของบุคลิกลักษณะของชาวโรมัน
นักกวีชื่อออวิด (Ovid) ได้เขียนบทกวีที่ให้แสงสว่าง มีไหวพริบเพื่อความบันเทิง ในบทความ Amores
(ภาษาอิตาลี แปลว่า
“ความรัก”) ออวิดได้เล่าว่า เขาสามารถเขียนเวลาเขาตกหลุมรักเท่านั้น "ในขณะที่ฉันออกจากอำนาจของกามเทพอย่างเป็นอิสระ
เทพธิดา Muse ของฉันก็เป็นใบ้และไม่เขียนไว้อาลัย"
ชาวโรมันยังได้เขียนร้อยแก้วที่ยอดเยี่ยม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ ลิวี
(Livy) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันได้รวบรวมประวัติศาสตร์ของกรุงโรมหลากหลายหมวด
เริ่มตั้งแต่กำเนิดกรุงโรมจนถึง 9 ปีก่อนคริสตกาล เขาใช้ตำนานได้อย่างอิสระ การสร้างตำนานแห่งชาติของกรุงโรมมากกว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริง
ทากิตุส (Tacitus)
นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันอีกคนหนึ่งที่มีชื่เสียงโดดเด่นในบรรดานักประวัติศาสตร์ยุคโบราณ
เพราะเขานำเสนอข้อเท็จจริงได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ เขายังมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดศีลธรรมของชาวโรมัน
ในพงศาวดารและประวัติศาสตร์ เขาได้เขียนเกี่ยวกับความดีและความชั่วของจักรวรรดิโรม
|
ท่อส่งน้ำโรมันนี้อยู่ในฝรั่งเศสในปัจจุบันมีอายุยืนยาวมาหลายศตวรรษ
ภาพแสดงส่วนตัด แสดงให้เห็นทางน้ำไหลภายในท่อส่งน้ำ
|
มรดกของโรม
การปรากฏตัวของกรุงโรมยังคงรู้สึกได้ทุกวันในภาษา
สถาบันและความคิดของโลกตะวันตก
ภาษาละติน
ละติน เป็นภาษาของชาวโรมันยังคงไว้ซึ่งภาษาแห่งการเรียนรู้ในตะวันตกมายาวนานหลังจากการล่มสลายของกรุงโรม
เป็นภาษาราชการของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในศตวรรษที่ 20
ละตินสืบทอดกันมาโดยผู้คนหลากหลายชาติและพัฒนาไปเป็นภาษาฝรั่งเศส
สเปน โปรตุเกส อิตาลีและโรมาเนีย ภาษาเหล่านี้จะเรียกว่าภาษาโรแมนติก เพราะเป็นมรดกชาวโรมันที่พบบ่อย
ละตินยังมีอิทธิพลต่อภาษาอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น ในภาษาอังกฤษมีคำมากกว่าครึ่งหนึ่งมีพื้นฐานมาจากภาษาละติน
ช่างก่อสร้างผู้ชำนาญ อาคันตุกะจากทั่วจักรวรรดิมีความประหลาดใจมากต่อสถาปัตยกรรมของกรุงโรม
ส่วนโค้ง โดมและคอนกรีตรวมกันเพื่อสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างที่งดงาม เช่น โคลอสเซียม
(Colosseum)
นอกจากนี้
ส่วนโค้งยังค้ำยันสะพานและสะพานสงน้ำ สะพานส่งน้ำได้รับการออกแบบโดยวิศวกรชาวโรมันเพื่อนำน้ำเข้าไปสู่เมืองเล็กและเมืองใหญ่
เมื่อช่องทางน้ำเหยียดทอดข้ามแม่น้ำหรือหุบเขา ท่อระบายน้ำจะถูกยกสูงขึ้นบนส่วนโค้ง
(ดูภาพ)
เพราะรูปแบบสถาปัตยกรรมโรมันประยุกต์ใช้จริง
จึงยังคงได้รับความนิยม ทอมัสเจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) เริ่มรื้อฟื้นสถาปัตยกรรมโรมันในสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่
18 อาคารสาธารณะขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ตึกรัฐสภาสหรัฐอเมริกาและอาคารหน่วยงานรัฐต่าง ๆ นานา ล้วนมีคุณลักษณะของสถาปัตยกรรมโรมัน
ถนนแบบโรมันก็มีความมหัศจรรย์ทางด้านเทคโนโลยี
กองทัพได้สร้างเครือข่ายถนนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากหินคอนกรีตและเม็ดทราย ซึ่งเชื่อมต่อกรุงโรมไปทุกส่วนของจักรวรรดิ
หลายสายมีอายุไปจนถึงยุคกลาง บางสายก็ยังคงใช้อยู่
|
ระบบกฎหมายของโรมัน ผลงานที่ยังคงเหลืออยู่และแพร่หลายที่สุดของโรม
ก็คือกฎหมาย กฎหมายโรมันในช่วงต้นส่วนใหญ่ว่าด้วยการเสริมสร้างสิทธิของพลเมืองโรมัน
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่จักรวรรดิเจริญรุ่งเรือง ชาวโรมันก็เชื่อว่ากฎหมายควรจะมีความยุติธรรมและนำไปใช้อย่างเท่าเทียมกันกับทุกคน
ทั้งคนรวยและคนจน ผู้พิพากษาเริ่มตระหนักถึงมาตรฐานบางอย่างของความยุติธรรมทีละน้อย
ๆ
มาตรฐานเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของนักปรัชญาสโตอิกและอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกร่วมกันและแนวความคิดที่ปฏิบัติได้
หลักการสำคัญที่สุดของกฎหมายโรมันบางส่วนคือ:
• ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
• บุคคลถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิด
• ภาระการพิสูจน์ตกไปอยู่กับโจทก์มากกว่าจำเลย
• บุคคลควรได้รับการลงโทษจากการกระทำเท่านั้น
ไม่ใช่จากความคิด
• กฎหมายใด
ๆ ที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลหรือไม่เป็นธรรมอย่างเห็นได้ชัด อาจจะมีการหยุดใช้ไว้ก่อน
หลักการของกฎหมายโรมัน
ยังยืนหยัดเป็นพื้นฐานของระบบกฎหมายในหลายประเทศในยุโรปและในสถานที่ที่ได้รับอิทธิพลจากยุโรปรวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา
อิทธิพลที่ยังยืนยงของกรุงโรม ด้วยการอนุรักษ์และการเพิ่มเติมให้กับอารยธรรมกรีก
โรมจึงทำให้วัฒนธรรมประเพณีตะวันตกเข้มแข็ง โลกจะเป็นสถานที่ที่แตกต่างกันมาก เมื่อไม่มีกรุงโรมอยู่
นักประวัติศาสตร์ ชื่อ อาร์. เอช. บาร์โรว์ (R. H. Barrow)
ได้กล่าวว่ากรุงโรมไม่เคยล่มสลาย เนื่องจากกรุงโรมเป็นบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในด้านความคิดและมีความเป็นอมตะ
อย่างไรก็ตาม
แม้จักรวรรดิโรมันจะมีความยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้เป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่แห่งยุคเพียงแห่งเดียว
ราว ๆ ยุคเดียวกันกับที่กรุงโรมกำลังพัฒนาวัฒนธรรมอันยั่งยืน จักรวรรดิที่มีความแตกต่างกัน
แต่มีความสลับซับซ้อนอย่างเท่าเทียมกันก็เกิดขึ้นใหม่ไกลออกไปทางทิศตะวันออก
ในอินเดียมีจักรวรรดิเมาระยะ (Mauryan) และคุปตะ (Gupta) ปกครองแผ่นดิน ในขณะที่จักรวรรดิฮั่น (Han) ก็ปกครองทั่วประเทศจีน
|
|
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โคลอสเซียม (The Colosseum)
โคลอสเซียมเป็นหนึ่งในความสำเร็จด้านวิศวกรรมและแบบฉบับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นระยะเวลาหลายยุคของโรมัน
ชื่อนี้ได้มาจากคำภาษาละตินว่า colossus หมายถึง "ยักษ์" การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่สมัยจักรพรรดิแว็สปาซิอานุส (Vespasianus อังกฤษ Vespasian)
และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยของจักรพรรดิติตุสและดอมิติอานุส (Titus
and Domitian) ซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ เป็นเวลาหลายศตวรรษหลังจากที่เป็นใช้งานใน
ค.ศ. 80 (พ.ศ. 623) มีผู้ชมทั้งคนรวยและคนจนมาให้กำลังใจการแสดงการต่อสู้ของนักสู้โรมันที่สู้กับสัตว์นักล่า
(เช่น สิงโต) หลายหลายชนิด
|
แบบฉบับของโลก
มหากาพย์
ขณะที่หลายคนรู้จักมหากาพย์ของเวอร์จิลและโฮเมอร์กวีชาวกรีก
วัฒนธรรมอื่น ๆ
ตลอดประวัติศาสตร์ได้สร้างบทกวีเล่าเรื่องของตัวเองเกี่ยวกับวีรบุรุษ มหาภารตะของอินเดียบอกเล่าเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อการครอบครองราชอาณาจักรอันยิ่งใหญ่
ในขณะที่มหากาพย์ของสเปนเอลซิด (El Cid) ก็กล่าวยกย่องวีรบุรุษสงครามกับชาวมัวร์
(Moors) และในขณะที่นวนิยายที่ไม่ได้เป็นบทกวี เดอะลอร์ดออฟเดอะริง นวนิยายแฟนตาซี
โดยนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ J.R.R. โทลคีน (J.R.R.
Tolkien) ถือได้ว่ามีหลายแง่มุมของมหากาพย์
มหากาพย์ส่วนใหญ่ดำเนินตามรูปแบบที่ได้มาจากผลงานเขียนของโฮเมอร์
อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของมหากาพย์ทั่วโลกไม่ใช่เป็นผลลัพธ์มากมายของนักเขียนคนเดียว
แต่เป็นความปรารถนาร่วมกันระหว่างอารยธรรมในการส่งเสริมคุณค่าและอุดมคติของพวกเขาผ่านเรื่องราว
|
|
อารยธรรมตะวันตก
อารยธรรมตะวันตกโดยทั่วไปจะเห็นได้ว่าเป็นมรดกของความคิดที่แพร่กระจายไปยังยุโรปและอเมริกา
ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมโบราณ อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางคนสังเกตว่า อารยธรรมตะวันตกไม่ได้อยู่ในสถานที่ใด
ๆ โดยเฉพาะ มันเป็นผลของวัฒนธรรมที่ดำเนินมาร่วมกัน มีปฏิสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลง
มรดกของกรีซและโรมยังคงมองเห็นได้ในปัจจุบันนี้
แผนภาพด้านล่างแสดงให้เห็นถึงวิธีที่แนวความคิดของกรีกและโรมันโบราณของการปกครอง
ปรัชญาและวรรณคดี สามารถตรวจสอบข้ามยุคได้ เช่นเดียวกับการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมมากมาย
การเชื่อมโยงระหว่างตัวอย่างไม่ใช่ทิศทางอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แผนภูมิมีร่องรอยวิวัฒนาการของความคิดหรือสาระสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป
|