แปลจาก...World History ของ Mcdougal Littel
แปลโดย...ทรงศักดิ์ สายหยุด

กำเนิดศาสนาอิสลาม

กำเนิดศาสนาอิสลาม
วัฒนธรรมของคาบสมุทรอาหรับมีการติดต่อซึ่งกันและกันมานานหลายศตวรรษ เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (ส่วนมากจะเรียกว่า ตะวันออกกลาง) เป็นสะพานเชื่อมระหว่างทวีปแอฟริกา เอเชียและยุโรป ที่มีการซื้อขายสินค้าและแบ่งปันแนวความคิดใหม่ ๆ แนวความคิดหนึ่งที่มีการเผยแพร่กัน กลายเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงโลก คือ ศาสนาอิสลาม

ทะเลทราย เมือง และเส้นทางการค้าขาย
คาบสมุทรอาหรับเป็นทางสี่แยกของ 3 ทวีป คือ แอฟริกา  ยุโรปและเอเชีย จุดที่ยาวที่สุดและกว้างที่สุดของคาบสมุทร ประมาณ 1,200 ไมล์จากทิศเหนือไปทิศใต้ (ประมาณ 1,930 กิโลเมตร) และ 1,300 ไมล์จากตะวันออกไปตะวันตก (ประมาณ 2,091  กิโลเมตร) เฉพาะแถบเล็ก ๆ ของแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ในอาระเบียตอนใต้และโอมานตลอดจนโอเอซิสสองสามแห่งก็สามารถสนับสนุนการเกษตรได้ พื้นที่ที่เหลือของแผ่นดินเป็นทะเลทรายซึ่งในอดีตเป็นที่อยู่อาศัยของชาวอาหรับผู้เร่ร่อนเลี้ยงสัตว์

การดำเนินชีวิตในทะเลทรายและในเมือง  ในทะเลทรายแห่งนี้  ชาวอาหรับผู้เร่ร่อน ซึ่งเรียกว่า เบดูอิน (Bedouins) จัดเป็นชนเผ่า ชนเผ่าเหล่านี้มีหน้าที่จัดการรักษาความปลอดภัยและการสนับสนุนการดำเนินชีวิตที่ได้ทำยากเนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงของทะเลทราย ชาวเบดูอินมีอุดมคติกล้าหาญและจงรักภักดีต่อครอบครัว พร้อมกับมีทักษะแห่งนักรบ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตอิสลาม
บริเวณที่มีดินอุดมสมบูรณ์มากและโอเอซิสขนาดใหญ่มีน้ำเพียงพอที่จะสนับสนุนชุมชนเกษตรกรรม ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 (คือช่วง ค.ศ. 501 ขึ้นไป) ชาวอาหรับหลายคนเลือกที่จะตั้งหลักแหล่งในโอเอซิสหรือในเมืองที่เป็นตลาด เมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันตกของอาระเบีย จึงกลายเมืองตลาดสำหรับการค้าขายสินค้าท้องถิ่น สินค้าภูมิภาคและสินค้าที่นำมาจากทางไกล

ทางสี่แพร่งของการค้าขายและแนวความคิด  ประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 เส้นทางการค้าขายเชื่อมต่ออาระเบีย (อาหรับ) เข้ากับมหาสมุทรที่สำคัญและเส้นทางการค้าขายทางบนบกเข้าด้วยกัน (ดูแผ่นที่ด้านล่าง) เส้นทางการค้าขายผ่านอาหรับทอดจากตอนใต้สุดของคาบสมุทรอาระเบียกับจักรวรรดิไบเซนไทน์และจักรวรรดิแซสซานิด (Sassanid = เปอร์เซีย) ไปทางทิศเหนือ เหล่าพ่อค้าจากทั้งสองอาณาจักรเดินไปตามเส้นทางคาราวาน  เพื่อค้าขายสินค้าจากเส้นทางสายไหม (Silk Roads) ของทางทิศตะวันออก พวกเขาลำเลียงเครื่องเทศและธูปจากเยเมนและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ไปทางทิศตะวันตก ตลอดจนนำเอาข้อมูลข่าวสารและความคิดจากโลกนอกเหนือจากอาระเบีย
มักกะฮ์ (หรือเมกกะ)  ในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์บางเดือน กองคาราวานได้หยุดในมักกะฮ์ เมืองในภาคตะวันตกของอาระเบีย พวกเขาได้นำผู้แสวงบุญไปนมัสการกะอ์บะฮ์ (Ka’aba – หินดำ) ชาวอาหรับเชื่อมโยงสถานที่เคารพบูชานี้กับอับราฮัม ผู้เผยพระวจนะชาวฮิบรูและผู้มีศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ในระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาได้แนะนำพิธีสักการะบูชาพระเจ้าและวิญญาณมากมาย ณ สถานที่นั้น กะอ์บะฮ์มีเทวรูปมากกว่า 360 องค์ ซึ่งนำมาจากหลายชนเผ่า
แนวคิดที่มีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเรียกว่าอัลลอฮ์ (Allah) ในภาษาอาหรับเป็นที่รู้จักกันในคาบสมุทรอาหรับ ชาวคริสต์และชาวยิวหลายคนอาศัยอยู่ที่นั่นและได้ปฏิบัติตามลัทธิเอกเทวนิยม ในสภาพแวดล้อมทางศาสนาที่ผสมผสานกันนี้ของนครมักกะฮ์ ประมาณ ค.ศ. 570 (พ.ศ. 1113) นบีมุฮัมมัดก็ประสูติ

นบีมุฮัมมัด (Muhammad)
นบีมุฮัมมัด เกิดมาในตระกูลของครอบครัวที่มีอิทธิพลแห่งนครมักกะฮ์  นบีมุฮัมมัดเป็นกำพร้าตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ได้รับการเลี้ยงดูมาโดยปู่และลุงของท่านเอง ท่านได้รับการศึกษาเล็กน้อยและเริ่มทำงานการค้าขายทางกองคาราวานในขณะที่ยังเป็นหนุ่ม  เมื่ออายุ 25 นบีมุฮัมมัดได้กลายเป็นผู้ประกอบการและผู้จัดการด้านธุรกิจให้กับเคาะดีญะฮ์ (Khadijah) นักธุรกิจหญิงผู้มั่งคั่ง วัยประมาณ 40 ปี ต่อมา นบีมุฮัมมัดและเคาะดีญะฮ์ก็แต่งงานกัน ชีวิตการแต่งงานและหุ้นส่วนธุรกิจก็ดำเนินไปด้วยดี


การเผยพระวจนะจากพระเจ้า นบีมุฮัมมัดมีความสนใจในศาสนาเป็นอย่างมากและใช้เวลาอยู่คนเดียวในการสวดมนต์อธิษฐานและการทำสมาธิอยู่เสมอ เมื่ออายุประมาณ 40 ปีชีวิตของนบีมุฮัมมัดก็เปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน เมื่อมีเสียงเรียกท่าน ขณะที่ท่านปฏิบัติสมาธิในถ้ำนอกเมืองมักกะฮ์  ตามความเชื่อของชาวมุสลิม  เสียงนั้นเป็นเสียงของทูตสวรรค์ ชื่อ กาเบรียล (Gabriel) ซึ่งได้บอกนมุฮัมมัดว่า ท่านเป็นทูตของอัลลอฮ์  นบีมุฮัมมัด ถามว่า "ข้าพเจ้าจะประกาศสิ่งใด?"  เสียงนั้นจึงตอบว่า
อ่าน! ด้วยพระนามแห่งผู้อภิบาลของเจ้า ผู้ทรงบังเกิด ทรงบังเกิดมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่าน และพระเจ้าของเธอนั้นผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนการใช้ปากกา ผู้ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ ...
                         อัลกุรอาน, ซูเราะฮ์ 96:1–5
หลังจากการค้นหาจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก นบีมุฮัมมัดก็ปลงใจเชื่อว่า พระเจ้าที่ทรงพูดกับท่านผ่านกาเบรียลเป็นอัลลอฮ์  นบีมุฮัมมัดก็เชื่อว่าท่าเป็นคนสุดท้ายของศาสดาพยากรณ์ ท่านเริ่มสอนว่า อัลลอฮ์เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งและองค์เดียวเท่านั้นและสอนว่าพระเจ้าอื่น ๆทั้งหมด จะต้องถูกยกเลิกไป คนที่เห็นด้วยกับหลักการพื้นฐานของศาสนาอิสลามนี้ เรียกว่า ชาวมุสลิม (Muslims)  ในภาษาอาหรับ อิสลาม (Islam) หมายถึง "การยอมจำนนโดยสิ้นเชิงยังประสงค์แห่งอัลลอฮ์" มุสลิม (Muslim) หมายถึง "ผู้ยอมจำนนต่อพระเจ้า"  เคาะดีญะฮืภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัดและเพื่อนสนิทพร้อมทั้งญาติอีกหลายคนได้เป็นสาวกรุ่นแรกของท่าน
ประมาณ ค.ศ. 613 (พ.ศ. 1156) ท่านนบีมุฮัมมัดได้เริ่มหล่อหลอมสาธารณชนในนครมักกะฮ์ แต่ท่านได้พบกับศัตรูบางคน ชาวมักกะฮ์หลายคนเชื่อว่า ความคิดทางการปฏิวัติของท่านได้นำไปสู่การปฏิเสธพระเจ้าอาหรับแบบดั้งเดิม พวกเขากลัวว่า นครมักกะฮ์จะสูญเสียตำแหน่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางไปแสวงบุญ ถ้าคนที่ยอมรับความเชื่อเอกเทวนิยมของท่านนบีมูฮัมมัด

ฮิจเราะห์ (Hijrah)  หลังจากที่สาวกบางส่วนของท่านถูกโจมตี นบีมุฮัมมัดจึงตัดสินใจออกจากนครมักกะฮ์ ใน ค.ศ. 622 (พ.ศ. 1165)  ท่านได้ส่งกลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มเล็ก ๆ ล่วงหน้าไปก่อน ตัวท่านเองได้อพยพไปสู่เมืองยัษริบ (Yathrib = มะดีนะฮ์) ซึ่งอยู่ห่างไปมากกว่า 200 ไมล์ทางตอนเหนือของนครมักกะฮ์  การอพยพครั้งนี้ เรียกกันว่า ฮิจเราะห์ (Hijrah)  การอพยพไปยังเมืองยัษริบเป็นจุดหักเหสำหรับนบีมุฮัมมัด ท่านได้ชักชวนสาวกผู้อุทิศตนได้เป็นจำนวนมาก ต่อมา เมืองยัษริบ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นมะดีนะฮ์ (Medina)
ในนครมะดีนะฮ์ นบีมุฮัมมัดได้แสดงทักษะความเป็นผู้นำอันน่าประทับใจ ท่านได้ทำข้อตกลงว่าจะชักจูงประชาชนของท่านให้ร่วมมือกับชาวอาหรับและชาวยิวในนครมะดีนะฮ์เกิดเป็นชุมชนเดียว กลุ่มคนเหล่านี้ได้ยอมรับท่านนบีมุฮัมมัดในฐานะผู้นำทางการเมือง ในฐานะที่เป็นผู้นำทางศาสนา ท่านได้เปลี่ยนแปลงคนอื่น ๆ อีกมากมายที่ค้นพบคำสอนอันน่าสนใจของท่าน ในที่สุด นบีมุฮัมมัดก็กลายเป็นเป็นผู้นำทางทหารในสงครามที่กำลังขยายขึ้นระหว่างนครมักกะฮ์กับนครมะดีนะฮ์






แผนที่เส้นทางค้าขาย
แผนที่เส้นทางการค้าขาย ค.ศ. 570


 
ฮิจเราะห์
ภาพวาดกองทัพอะบิสซิเนียเดินทางออกไปเพื่อทำลายหินกะอ์บะฮ์ แต่ข้างไม่ยอมต่อสู้กัน




ช่างศิลป์ประดับประดาพระคัมภีร์กุรอานซึ่งเป็นกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ การออกแบบรูปทรงเรขาคณิตเป็นการย้ำถึงความเสมอภาคของอัลลอฮ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กลับสู่นครมักกะฮ์  ใน ค.ศ. 630 (พ.ศ. 1173) ท่านนบีกับสาวก จำนวน 10,000 คน ได้ยาตราทัพไปยังเขตชานเมืองมักกะฮ์  เหล่าผู้นำของนครมักกะฮ์ เผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จึงยอมจำนน ท่านนบีได้เข้าไปในเมืองด้วยชัยชนะ ท่านได้ทำลายเทวรูปที่อยู่ข้างในหินกะอ์บะฮ์ และท่านได้อุทิศถวายให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แด่พระอัลลอฮ์

ชาวมักกะฮ์ส่วนใหญ่ให้คำมั่นสัญญาจะจงรักภักดีต่อนบีมุฮัมมัดและอีกจำนวนมากมายยอมเปลี่ยนแปลงมานับถือศาสนาอิสลาม โดยการทำเช่นนั้น พวกเขาก็ได้เข้าร่วมกับอุมมะฮ์ (umma) หรือชุมชนทางศาสนาของชาวมุสลิม นบีมุฮัมมัดเสียชีวิตในสองปีต่อมา เมื่ออายุ 62 ปี แต่ท่านได้นำความก้าวหน้าอย่างมากมายด้วยการรวบรวมคาบสมุทรอาหรับทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การปกครองของอิสลาม
ศรัทธา ข้อปฏิบัติ และข้อบังคับของอิสลาม
ชาวมุสลิมหาคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตของพวกเขาในแหล่งที่มาหลักสองแหล่ง ทั้งสองแหล่งจะเชื่อมต่อกับศาสดามุฮัมมัด
กุรอานและสุนนะฮฺ คำสอนหลักของศาสนาอิสลาม คือ มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น คือ อัลลอฮ์ ชาวมุสลิมเชื่อพระเจ้าซึ่งเปิดเผยคำพูดของพระองค์ผ่านทูตสวรรค์กาเบรียลที่ส่งคำสอนไปยังศาสดามุฮัมมัด ในขณะที่ศาสดามุฮัมมัดมีชีวิตอยู่ สาวกของท่านเชื่อฟังคำสอนของท่าน  พวกเขายังจดจำและท่องการเปิดเผยซึ่งเป็นพระคัมภีร์เรียกว่าคัมภีร์กุรอ่าน (Qur’an) หลังจากศาสดามุฮัมมัดสิ้นชีวิต สาวกของท่านได้เก็บรวบรวมคัมภีร์กุรอ่านเป็นหนังสือที่เขียนในภาษาอาหรับ เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม
ชาวมุสลิมเชื่อว่าการเผยแพร่ศาสนาของศาสดามุฮัมมัดในฐานะเป็นพระศาสดาไม่ได้เป็นเพียงเพื่อที่จะได้รับคัมภีร์กุรอ่านเท่านั้น แต่ยังแสดงวิธีการใช้คำสอนในคัมภีร์ในชีวิตประจำวัน สุนนะฮฺ (Sunnah) หรือคำพูดและการกระทำของศาสดามุฮัมมัดเป็นแนวทางการดำรงชีวิตสำหรับชาวมุสลิม
ต่อมานักคิดทางกฎหมายได้จัดแนวทางของคัมภีร์กุรอ่านและสุนนะฮฺเข้าไปในระบบของกฎหมาย  ตัวบทกฎหมายนี้ถูกใช้โดยชุมชนมุสลิมเพื่อตัดสินเรื่องทางกฎหมายเช่นกฎสำหรับการรับมรดกและการลงโทษอาชญากร
ชีวิตประจำวันของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมพยายามเชื่อมการดำเนินชีวิตส่วนตัวและทางศาสนาของพวกเขาเข้าด้วยกัน พวกเขาอาศัยศาสนาของตนเอง โดยการปฏิบัติตามสดมภ์ห้าประการ (หลักปฏิบัติ 5 ประการ – Five pillars) ของศาสนาอิสลามที่แสดงด้านล่าง สดมภ์เหล่านี้เป็นหน้าที่ห้าประการที่ชาวมุสลิมทั้งหมดต้องปฏิบัติเพื่อแสดงให้เห็นถึงความนอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า

หลักปฏิบัติห้าประการ (Five Pillars)
1. ศรัทธา คือ เชื่อและพูดว่า “ไม่มีพระเจ้านอกจากพระอัลลอฮ์ และพระมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์"
2.  การสวดมนต์หรือละหมาด คือ สวดอธิษฐานเป็นภาษา อาหรับวันละห้าเวลา ในเวลาเฉพาะ (คือ รุ่งอรุณ ตอนบ่าย ตอนตะวันคล้อย ตอนหลังพระอาทิตย์ตกดิน และตอนค่ำคืน) และหันหน้าไปทางมักกะฮ์
3.  การบริจาคทาน หรือการจ่ายซะกาด คือ การให้ทานแก่คนจนและคนจัดสน
4.  การถือศีลอด คือ การอดอาหารในช่วงเดือนรอมฎอน (Ramadan) ในแต่ละปี หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก
การเดินทางไปแสวงบุญ คือ ถ้าเป็นไปได้ ให้เดินทางไปแสวงบุญยังเมืองอันศักดิ์สิทธิ์ คือ มักกะฮ์ ครั้งหนึ่ง    ในชีวิต

ขนบธรรมประเพณีและกฎเกณฑ์ของอิสลามอื่น ๆ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของชาวมุสลิม เหล่าผู้ศรัทธาห้ามไม่ให้กินเนื้อหมูหรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บ่ายวันศุกร์ กำหนดให้ชุมชนมีการเคารพบูชาและการสวดมนต์ ผู้ที่มีความสามารถจะมารวมกันที่มัสยิดอาคารที่ใช้สำหรับชาวมุสลิมทำการเคารพบูชา  มัสยิดทั้งหมด จะหันหน้าไปยังเมืองมักกะฮ์เพื่อให้ชาวมุสลิมอธิษฐานไปในทิศทางนั้น

ความสัมพันธ์กับศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ ชาวมุสลิมย้อนรอยจุดเริ่มต้นของศาสนาของพวกเขาไปถึงอับราฮัม  พวกเขาเชื่อว่า อับราฮัมเป็นผู้เผยพระวัจนะของพระเจ้า เช่นเดียวกับชาวยิวและชาวคริสต์  สำหรับชาวมุสลิม พระอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าเดียวกันกับพระเจ้าที่ชาวคริสต์และชาวยิวสักการะบูชา  ชาวมุสลิมเรียกทั้งชาวคริสต์และชาวยิวว่า "People of the book " เพราะศาสนาของพวกเขามีหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีคำสอนที่คล้ายคลึงกับคำสอนในคัมภีร์กุรอาน สาวกของศาสนาทั้งสามศาสนาเชื่อในเรื่องสวรรค์ นรกและวันตัดสินครั้งสุดท้าย (วันสิ้นโลก)
อย่างไรก็ตาม มุมมองของชาวมุสลิมแตกต่างจากชาวคริสต์ คือ มีมุมมองว่า พระเยซูเป็นศาสดาพยากรณ์ ไม่ใช่เป็นบุตรของพระเจ้า  ชาวมุสลิมเชื่อว่า คัมภีร์กุรอานเป็นพระวัจนะของพระเจ้าซึ่งเปิดเผยให้กับพระมุฮัมมัด ชาวยิวและชาวคริสต์ยังเชื่อว่า พระวัจนะของพระเจ้าถูกเปิดเผยในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาด้วย แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่าคัมภีร์กุรอานเป็นหนังสือเล่มสุดท้ายของพระวัจนะของพระเจ้า พวกเขายังคิดว่า พระมุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายในลำดับของศาสดาพยากรณ์
           กฎหมายของมุสลิมต้องการให้ผู้นำมุสลิมมีขันติธรรมต่อผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม แม้ว่า ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมถูกจำกัดสิทธิและจะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม นโยบายความอดทนต่อผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมนี้จะมีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของจักรวรรดิมุสลิมภายใต้ผู้สืบทอดของศาสดามุฮัมมัด




ชาวมุสลิมในตุรกี
การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม
ชาวมุสลิมทั่วโลกจะหันหน้าไปยังเมืองมักกะฮ์สวดมนต์อธิษฐานขอพรจากอัลลอฮ์
ภาพนี้เป็นสวดมนต์ในสุเหร่าในประเทศตุรกี