|
|||||
|
|
กฎหมายของชาวฮีบรู ความเป็นผู้นำของเดโบราห์เป็นเรื่องพิเศษสำหรับผู้หญิงชาวฮิบรู
บทบาทของผู้ชายและผู้หญิงค่อนข้างแยกจากกันในสังคมฮิบรูโดยสิ้นเชิง
ผู้หญิงไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ โดยทั่วไป หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงชาวฮิบรูก็คือการเลี้ยงลูกและสอนความเป็นผู้นำทางศีลธรรมให้กับลูก
ๆ
บัญญัติ 10
ประการเป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายที่พระเจ้าทรงมอบให้กับโมเสส ประมวลกฎหมายรวมถึงกฎอื่น ๆ
ที่จัดระเบียบพฤติกรรมทางสังคมและศาสนา อีกประการหนึ่ง
ประมวลกฎหมายนี้คล้ายกับประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ซึ่งมีทัศนคติที่ว่า "ตาต่อตา ฟันฟัน" อย่างไรก็ตาม การตัดสินที่เข้มงวดได้อ่อนโยนลงด้วยการแสดงออกซึ่งความเมตตาของพระเจ้า
ต่อมา ประมวลกฎหมายได้ถูกตีความโดยครูสอนศาสนาที่เรียกว่า
ผู้เผยพระวจนะ (prophet – ศาสดาพยากรณ์) การตีความเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเน้นความเท่าเทียมมาก่อนกฎหมายมากกว่าที่จะเน้นประมวลกฎหมายอื่น
ๆ ในยุคนั้น ผู้เผยพระวจนะกระตุ้นให้ชาวฮีบรูยึดมั่นพันธสัญญากับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง
ผู้เผยพระวจนะสอนว่า
ชาวฮีบรูมีหน้าที่เคารพบูชรพระเจ้าและดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ต่อกันและกัน
เป้าหมาย คือ การดำเนินชีวิตอยู่ในศีลธรรมตามกฎหมายของพระเจ้า ในคำพูดของผู้เผยพระวจนะ ชื่อ
มีคาห์ว่า "มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี
และพระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา
และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า?" นี้เน้นการปฏิบัติที่ถูกต้องและการเคารพบูชาพระเจ้าองค์เดียว
เรียกว่า ethical monotheism (การเคารพนับถือพระเจ้าองค์เดียว) - ซึ่งเป็นแนวความคิดของชาวฮีบรูที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายพันปีผ่านทางศาสนายูดาย
ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม
ราชอาณาจักรอิสราเอล
คานาอัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ชาวฮีบรูเชื่อว่า
พระเจ้าประทานพันธสัญญาให้กับตนเอง – มีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่ไม่น่าอยู่อาศัย
เช่น เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง ป่าหิน ภูเขาหญ้า และแห้งร้อน ลุ่มแม่น้ำจอร์แดนก็แห้งแล้ง
น้ำก็ไม่เคยอุดมสมบูรณ์ แม้จะมีหินปูนมากมายซึมซับปริมาณน้ำฝนได้มากก็ตาม
หลังจากที่ชาวฮีบรูได้ปักหลักครั้งแรกในพื้นที่ตอนกลางเยื้องไปทางใต้ของปาเลสไตน์โบราณ
ก็ได้ขยายดินแดนลงไปทางใต้และทางเหนือ
ซาอูลและดาวิดก่อตั้งราชอาณาจักร
บางครั้ง ผู้พิพากษาได้รวบรวมชนเผ่าที่กระจัดกระจายกันไปทั่วเข้าด้วยกันเพื่อสร้างกองกำลังทางด้านทหารให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ชาวฟิลิสไตน์ ซึ่งเป็นชนจำพวกหนึ่งในบริเวณนั้น ได้คุกคามสถานะของชาวฮีบรู
ในปาเลสไตน์สมัยโบราณ ชาวฮีบรูเป็นเพื่อนบ้านค่อนข้างดีกับชาวคานาอัน
ในที่สุด ชนเผ่าจาก 12 เผ่า ก็เหลือเผ่าขนาดใหญ่เผ่าเดียว คือ เผ่ายูดาห์ (Judah) จึงเป็นผลให้ชาวฮีบรูได้รับการเรียกขานว่า ชาวยิว (Jews) และศาสนาของพวกเขา เรียกว่า ยูดาย (Judaism)
ประมาณ 1,020 ถึง 922
ปี ก่อนคริสตกาล ชาวฮีบรูเป็นเอกภาพภายใต้การปกครองของพระราชา 3 พระองค์ คือ
ซาอูล ดาวิดและโซโลมอน (Saul, David, and
Solomon) ราชอาณาจักรใหม่ เรียกว่า อิสราเอล (Israel)
เป็นเวลา 100 ปี อิสราเอลมีความสุขกับช่วงเวลาเรืองอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและความเป็นอิสระ
บรรดาราชาทั้ง
3 องค์ ซาอูลเป็นองค์แรกที่ได้รับเลือกจากคนส่วนใหญ่ เพราะเขาขับไล่ชาวฟิลิสไตน์ออกไปจากเนินเขาตอนกลางของปาเลสไตน์โบราณ
ซาอูลได้รับการพรรณนาไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นคนน่าสงสาร ซึ่งประสบวงจรอุบาทว์ของความหึงหวง หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์
โอรสบุญธรรม ชื่อ ดาวิด ก็ครองราชย์ต่อมา กษัตริย์ดาวิด ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ได้รวบรวมชนเผ่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อตั้งกรุงเยรูซาเล็มขึ้นเป็นเมืองหลวงและก่อตั้งราชวงศ์ขึ้น
|
โซโลมอนก่อตั้งราชอาณาจักร ประมาณ 962 ปีก่อนคริสตกาล โซโลมอนบุตรชายของดาวิด
ซึ่งมีมารดาชื่อว่า บาธเชบา ก็ครองราชย์สืบต่อมา โซโลมอนเป็นกษัตริย์ฮีบรูผู้ทรงพลานุภาพมากที่สุด
พระองค์ทรงสร้างอาณาจักรแห่งการค้าขายด้วยความช่วยเหลือของฮีราม เพื่อนของตนเอง
ซึ่งเป็นกษัตริย์ชาวฟินิเซียนแห่งเมืองไทร์ (Tyre) โซโลมอนยังได้ตกแต่งกรุงเยรูซาเล็มให้สวยงาม
สุดยอดแห่งความสำเร็จของโครงการก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม คือ
มหาวิหาร ที่พระองค์สร้างขึ้นเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า วิหารนั้นยังเป็นที่เก็บถาวรของหีบพันธสัญญา
(Ark of the Covenant)
ซึ่งบรรจุแผ่นจารึกกฎหมายของโมเสส
วิหารที่โซโลมอนสร้างขึ้นไม่ได้มีขนาดใหญ่
แต่เปล่งประกายเหมือนอัญมณีอันล้ำค่า เสาสำริดตั้งตระหง่านอยู่ที่ทางเข้าวิหาร
วิหารเป็นหินด้านนอก ในขณะที่ผนังด้านในทำจากไม้ซีดาร์หุ้มด้วยทองคำ ห้องโถงใหญ่ประดับประดาอย่างหรูหราด้วยทองเหลืองและทองคำ
โซโลมอนทรงสร้างพระราชวังสิ้นค่าใช้จ่ายมากว่าและสวยงามอลังการมากกว่าพระวิหารเสียอีก
ราชอาณาจักรแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย โครงการก่อสร้างโซโลมอนจำเป็นต้องใช้ภาษีสูงและทำให้การเงินของราชอาณาจักรเกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ ทุก ๆ 3 เดือน จะมีประชาชนถูกบังคับให้ออกไปทำงานในวิหารหนึ่งเดือน ค่าใช้จ่ายและแรงงานที่ถูกบังคับทำให้เกิดความไม่พอใจมาก
เป็นผลให้หลังจากกษัตริย์โซโลมอนสิ้นพระชนม์ ชาวยิวในทางตอนเหนือของราชอาณาจักรซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากทางทิศใต้ไม่เห็นด้วย
ประมาณ 922 ปี ก่อนคริสตกาล ราชอาณาจักรจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน อิสราเอลอยู่ทางเหนือและยูดาห์ (Judah) อยู่ทางภาคใต้
200 ปีต่อมา ราชอาณาจักทั้งสอง คือ อิสราเอลและยูดาห์ก็เกิดความสับสนอลหม่าน
บางครั้งก็ต่อสู้กันเอง บางครั้งก็ร่วมกันต่อสู้กับศัตรู
แต่ละราชอาณาจักรมีระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง ตามด้วยระยะเวลาแห่งความตกต่ำซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความเสื่อมถอย
การตกเป็นเชลยของชาวบาบิโลเนียน
ในที่สุด ภัยพิบัติก็เข้าทำลายในขณะที่ราชอาณาจักรทั้งสองสูญเสียความเป็นอิสระ
ในช่วง 738 ปี ก่อนคริสตกาล ทั้งอิสราเอลและยูดาห์ก็เริ่มจ่ายเครื่องบรรณาการ
คือ เงินที่ผู้อ่อนแอกว่าจ่ายให้ผู้แข็งแรงกว่าเพื่อสันติภาพ
ให้กับจักรวรรดิอัสซีเรีย อิสราเอลและยูดาห์มีความหวังจะให้เกิดความแน่ใจว่าจักรวรรดิอัสซีเรียอันยิ่งใหญ่จะไม่โจมตี
ด้วยการถวายเครื่องบรรณาการ แต่เครื่องบรรณาการนี้ยังไม่เพียงพอและในช่วง 725 ปี
ก่อนคริสตกาล จักรวรรดิอัสซีเรียเริ่มล้อมซามาเรีย เมืองหลวงของอิสราเอล อย่างไม่หยุดยั้ง
ประมาณ 722 ปี ก่อนคริสตกาล ราชอาณาจักรทางเหนือทั้งหมดก็ล่มสลายลงจากการโจมตีนอย่างหนักของอัสซีเรีย
ราชอาณาจักรทางตอนใต้ของยูดาห์ตั้งอยู่ได้อีก
150 ปีก่อนที่จะถูกทำลายอีกครั้ง ยูดาห์ก็ล่มสลายในเงื้อมมือของอาณาจักบาบิโลเนีย
หลังจากที่พิชิตอิสราเอลได้แล้ว อัสซีเรียก็สูญสิ้นอำนาจให้กับอาณาจักรบาบิโลนที่เรืองอำนาจขึ้น
กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์
(Nebuchadnezzar) ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบาบิโลเนีย บังคับให้ชาวอียิปต์ออกจากซีเรียและปาเลสไตน์โบราณและโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม
2 ครั้ง ในที่สุด เยรูซาเล็มก็ล่มสลายในช่วง 586 ก่อนคริสตกาล
วิหารโซโลมอนถูกทำลายจากชัยชนะของบาบิโลเนีย ผู้รอดชีวิตเป็นอันมากถูกเนรเทศไปยังบาบิโลน
ในระหว่างลี้ภัยในบาบิโลน พระคัมภีร์ไบเบิลได้อธิบายถึงวิธีที่ผู้เผยพระวจนะ
ชื่อ เอเสเคียล (Ezekiel) ได้กระตุ้นให้ประชาชนปกปักษ์รักษาศาสนาให้คงอยู่ในต่างประเทศ
จากนั้น ประมาณ
50 ปีหลังจากยูดาห์ล่มสลาย ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในคำพยากรณ์อีกชนิดหนึ่ง ในช่วง 539 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เซียก็พิชิตบาบิโลน
ในปีต่อมา กษัตริย์ไซรัสก็อนุญาตให้ผู้ลี้ภัย 40,000 คนกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อสร้างวิหารขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ตาม มีหลายคนยังอยู่ในบาบิโลน
การทำงานในวิหารแห่งที่สองก็เสร็จสมบูรณ์ในช่วง
515 ปี ก่อนคริสตกาล ผนังของกรุงเยรูซาเล็มถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในช่วง 445 ปี ก่อนคริสตกาล
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า จักรวรรดิอื่น ๆ ก็เข้าครอบงำภูมิภาคนี้
อันดับแรกคือเปอร์เซีย ต่อมากรีกและตามด้วยโรมัน อาณาจักรใหม่ ๆ เหล่านี้ได้เข้าปกครองทั้งปาเลสไตน์โบราณและกุมชะตากรรมของชาวยิว
|
|
|
กษัตริย์โซโลมอน (962 – 922 ก่อนคริสตกาล)
ในพระคัมภีร์ไบเบิล
กษัตริย์โซโลมอน สวดอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์
ซึ่งพระองค์ก็อนุญาต
หลังจากนั้นไม่นาน
มีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิง 2 คน กับเด็กชายน้อยคนหนึ่งถูกนำตัวมาเบื้องหน้าพระองค์
ต่างคนก็อ้างว่าเป็นบุตรชายของตนเอง หลังจากฟังคำให้การของหญิงทั้งสองแล้ว
กษัตริย์โซโลมอนก็ประกาศว่า “จงแบ่งเด็กคนนี้เป็นสองส่วนทั้งที่มีชีวิตอยู่
แล้วเอาครึ่งหนึ่งให้ผู้หญิงคนหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง”
หญิงคนหนึ่งพูดว่า
“กรุณาเถิดพระองค์ โปรดประทานชีวิตให้กับลูกน้อยของข้าเถิด กรุณาอย่าฆ่าเขาเลย”
แต่หญิงอีกคนหนึ่งยอมรับการตัดสินของพระองค์ ด้วยการพูดว่า “แบ่งเถิดพระเจ้าข้า
เด็กคนนี้ควรจะเป็นของข้าและของหญิงนั้น”
พระเจ้าโซโลมอนจึงทรงทราบว่า
ผู้หญิงที่เสียสละลูกเพื่อช่วยชีวิตคือแม่ที่แท้จริง
|
คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนายูดาห์
คัมภีร์ฮีบรู
คัมภีร์โทราห์
- คัมภีร์ 5
เล่มแรก พระคัมภีร์ไบเบิล
- บรรยายกำเนิดมนุษย์และศาสนายูดาห์
- บรรจุคำสอนหลักของศาสนายูดาห์
ศาสดาพยากรณ์
- เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาวยิวและเขียนโดยครูชาวยิว
- แบ่งออกเป็นองค์แรกและองค์ต่อ
ๆ มา
- บรรยายเรื่องประวัติของชาวยิว
- เรียกร้องความสำนึกผิดและความเชื่อฟัง
งานเขียน
- รวบรวมงานเขียนอื่น ๆ มากมาย
- ประกอบด้วย บทกวี
ประวัติศาสตร์และเรื่องราว
ต่าง ๆ ตลอดจนงานเขียน เกี่ยวกับปรัชญา ที่เรียกว่า wisdom literature
คัมภีร์ทาลมุด (Talmud)
- มิชนาห์ (Mishnah) ภาคที่เขียนจากคำสอนที่
บอกกันด้วยปากเปล่าของยิว
- เจมาระ (Gemara) อธิบายและตีความมิชนาห์
|